1. ที่มาของการทรงเรียก
ข้าพเจ้าได้มีโอกาสเข้าศึกษาในโรงเรียนคริสเตียนในลักษณะที่แปลกมาก ๆ กล่าวคือเมื่อข้าพเจ้ากำลังเรียนอยู่ชั้นประถมปีที่ 4 วันนั้นเป็นวันปิยะมหาราช มีการเดินพาเหรดของโรงเรียนต่าง ๆในจังหวัดตรังและได้มีการแห่พวงหรีดเพื่อนำไปสักการะที่อนุเสาวรีย์ของล้นเกล้ารัชกาลที่ 5 ซึ่งอยู่บนศาลากลางของจังหวัด พร้อมทั้งมีการประกวดพวงหรีดประเภทสวยงามและประเภทความคิดด้วย ในวันนั้นข้าพเจ้าอยู่หน้าบ้านนั่งดูขบวนพาเหรดของโรงเรียนต่าง ๆ แต่ข้าพเจ้ากลับติดอกติดใจในพวงหรีดของโรงเรียนยุวราษฏร์วิทยาซึ่งชนะเลิศประเภทความคิดด้วย ผมก็เลยไปบอกคุณพ่อว่าข้าพเจ้าอยากจะเรียนชั้นประถมปีที่ 5 ที่โรงเรียนยุวราษฏร์วิทยาซึ่งข้าพเจ้าเองก็ไม่ทราบเลยว่าโรงเรียนนี้ตั้งอยู่ที่ไหนแถมอีกอย่างหนึ่งโรงเรียนนี้เป็นโรงเรียนคริสต์ซึ่งนักเรียนทุกคนต้องถูกต้อนให้เข้าห้องประชุมทุกวัน ๆละ 30 นาทีเพื่อฟังคำเทศนาเกี่ยวกับพระเยซูคริสต์ ตั้งแต่ จันทร์ ถึง ศุกร์ ข้าพเจ้าไม่เคยคิดว่าโรงเรียนนี้อยู่ไกลออกไปนอกเมืองมากแต่คิดค่าเล่าเรียนถูกมากคือเทอมละ 50 บาทเท่านั้นเอง เวลานั้นข้าพเจ้าเป็นคนที่เคร่งศาสนาพุทธมากเพราะคุณแม่จะพาข้าพเจ้าไปวัดทุกครั้งที่ท่านไปวัด เมื่อข้าพเจ้าสอบเข้าโรงเรียนนี้ได้ ข้าพเจ้าได้ถูกคัดเลือกให้เป็นนักฟุตบอลของโรงเรียนตั้งแต่ชั้นประถมปีที่ 5 จนถึง มัธยมปีที่ 3 ก่อนที่จะเข้ามาเรียนต่อชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4-5 ที่กรุงเทพฯ
2. ชีวิตในโรงเรียน
เมื่อได้เข้าเรียนในโรงเรียนยุวราษฏร์วิทยาข้าพเจ้าได้ต่อต้านเพื่อน ๆ ที่เป็น คริสเตียนเป็นอย่างมาก เช่นล้อเลียนเพื่อนเหล่านั้นว่า “ พระเยซูกินน้ำเต้ากับหัวปลาทู” จนเพื่อน ๆคริสเตียนเหล่านั้นร้องไห้กันเกือบทุกวัน
3. ประสบการณ์เฉียดตายครั้งที่ 1
ขณะที่เรียนอยู่ชั้นประถมปีที่ 6 ข้าพเจ้าป่วยหนักมากถ่ายเป็นเลือด 2-3 ครั้งจำได้ว่าเป็นวันพระราชสมภพของพระบรมราชินีนาถ คุณแม่พาข้าพเจ้าไปที่คลินิกแพทย์ที่รู้จักกันดี คุณหมอฉีดยาให้หยุดถ่าย แต่พอกลับถึงบ้านข้าพเจ้ากลับอาเจียนเป็นเลือดสด ๆ เกือบเต็มกระโถนใหญ่ 3 กระโถน คุณแม่เลยต้องพาข้าพเจ้ากลับไปหาหมออีกครั้ง คุณหมอก็เลยสั่งให้คุณแม่รีบพาข้าพเจ้าไปโรงพยาบาลประจำจังหวัดโดยด่วนที่สุด ท่านวินิจฉัยว่าข้าพเจ้าเป็นแผลที่สำไส้เล็กและเกิดการอักเสบ มีอยู่วันหนึ่งขณะที่คุณแม่อยู่ดูแลข้าพเจ้าอยู่ใกล้ ๆ ข้าพเจ้ารู้สึกว่าเข้าไปอยู่ในภาวะใกล้ตายแล้ว ข้าพเจ้าตาเหลือกได้ยินเสียงคุณแม่เรียกแต่ตอบไม่ได้ รู้สึกว่าวิญญาณได้ออกจากร่างกำลังมองตัวเองอยู่ เวลานั้นคุณแม่รีบวิ่งไปบอกพยาบาลและหมอ เขาเลยเข็นถังออกซิเจนมาแล้วต่อสายเข้าจมูกข้าพเจ้า (ในสมัยนั้นเมื่อปี 2506 โรงพยาบาลไม่ได้ถูกสร้างให้มีท่ออ๊อกซิเจนทุกเตียงเหมือนในสมัยปัจจุบัน) ข้าพเจ้าเริ่มกระพริบตา เหตุการณ์ใกล้ตายครั้งแรกนี้ข้าพเจ้าเชื่อว่าพระเจ้ายังไม่ให้ผมตายเพราะพระองค์มีพระประสงค์ที่จะใช้ข้าพเจ้าในอนาคต นี่เป็นเหตุการณ์เฉียดตายครั้งที่ 1
4. ประสบการณ์เฉียดตายครั้งที่ 2 :
เมื่อข้าพเจ้าเรียนจบปริญญาตรี เวลานั้นงานหายากมากเพราะเป็นเหตุการณ์หลัง 6 ต.ค. 2519 เศรษฐกิจของประเทศแย่มาก คุณแม่บอกข้าพเจ้าให้ไปคุยกับคุณวิชัย ตรังคสมบัติ ซึ่งเป็นญาติกันเพื่อของานทำ แต่ท่านกลับมาพูดเรื่องของพระเจ้า ซึ่งข้าพเจ้ามีความรู้เรื่องของพระบิดาและพระบุตร อย่างดีมาจากโรงเรียนยุวราษฏร์วิทยาที่ข้าพเจ้าเรียนอยู่ที่นั่นตั้ง 6 ปี ก็เลยทะเลาะกันเรื่องพระเจ้า งานการไม่สนใจแล้ว เขาบอกว่าข้าพเจ้าว่าคนพุทธไหว้รูปเคารพซึ่งสร้างด้วยมือมนุษย์ซึ่งเดินไม่ได้ กินไม่ได้ และ มนุษย์เองยังช่วยตัวเองไม่ได้ แล้วสิ่งที่มนุษย์สร้างขึ้นจะช่วยมนุษย์ได้อย่างไร ข้าพเจ้าก็บอกว่า คริสเตียนไหว้ลม อธิษฐานกับลมแล้วจะได้ผลอย่างไร คุยกันเสียงดังลั่นไปหมดจนเหมือนกับการทะเลาะกัน ท่านก็เลยท้าทายให้ข้าพเจ้าไปคริสตจักรเอกมัยที่ซอยยาสูบก่อนย้ายไปตั้งคริสตจักรร่มเย็นในปัจจุบัน ข้าพเจ้าก็เลยเอาพระคัมภีร์ที่โรงเรียนให้มาตอนใกล้จะจบ และเตรียมเรื่องในพระคัมภีร์เพื่อจะไปทะเลาะกับ ศจ.วีรชัย โกแวร์ แต่ในที่สุดข้าพเจ้าก็ออกไปข้างหน้าธรรมาสน์เมื่อเขาเรียกให้ออกไปรับเชื่อ แต่ข้าพเจ้าออกไปไม่ใช่จะกลับใจแต่อยากออกไปท้าทายว่าพระเจ้ามีจริงหรือไม่ ตอนนั้นคริสตจักรมีสมาชิกอยู่เพียงสิบกว่าคน เขากลับให้ข้าพเจ้าทำหน้าที่นำประชุมและสอนระวีวาระศึกษาแก่อนุชนในคริสตจักร ข้าพเจ้ามีความรู้สึกต่อมาว่าพระเจ้ามีจริงเพราะได้เห็นฤทธิเดชหลายอย่างในชีวิต และตัดสินใจเรียนพระคัมภีร์กับ ศจ.วีรชัย 1 ปีกว่าโดยเรียนทุกวันพุธเวลา 1800 – 2000 น. ต่อมาไม่นานข้าพเจ้าก็ป่วยอีก คราวนี้ปวดท้องมากที่สุด คุณแม่พาข้าพเจ้าไปโรงพยาบาลจุฬาฯ หมอเวรกลางคืนบอกว่าไม่เป็นไรโดยที่ไม่ยอมหาสาเหตุและไม่ทำอะไรเลย คุณแม่ เลยต้องพาไปที่โรงพยาบาลราชวิถี หมอฉีดยาให้ 2 เข็มแต่ความปวดก็หาลดลงไม่ ในเวลานั้นข้าพเจ้าคิดว่าใกล้ตายอีกแล้ว จึงอธิษฐานกับพระเจ้าว่าถ้าคราวนี้ต้องตายจริง ๆก็โปรดรับจิตวิญญาณของข้าพเจ้าไปด้วยเพราะอย่างไรเสียข้าพเจ้าก็จะไม่ทิ้งพระองค์
ในช่วงเวลาหนึ่งของชีวิตข้าพเจ้าได้ถูกบริษัทส่งไปทำงานที่โปรตุเกส1 ปีและตุรกี 3 ปีเศษไม่มีคริสตจักรให้ข้าพเจ้าไปเพราะเขาเป็นคาทอลิค และ มุสลิม พระองค์ทราบเรื่องนี้ก่อนข้าพเจ้าไปแน่ ๆว่าจะเกิดอะไรขึ้น พระองค์เตือนให้ข้าพเจ้าเอาพระคัมภีร์ไปด้วย ทำให้ข้าพเจ้าได้มีโอกาสอ่านพระคัมภีร์จบไปหลายรอบ ถึงกระนั้นก็ตามข้าพเจ้าก็ได้ทำทุกอย่างเหมือนบุตรน้อยที่ผลาญสมบัติที่เป็นส่วนแบ่งจากมรดกของเขาจนหมด แต่พระเจ้าก็ให้อภัยเมื่อเราอธิษฐานขอให้พระองค์ยกโทษบาปของเราอย่างจริงจัง
5. ประสบการณ์เฉียดตายครั้งที่ 3:
ผมได้มีโอกาสไปทำงานที่อเมริกาโดยบริษัทได้ส่งไปทำงานที่นั่น ข้าพเจ้าเกิดปวดท้องขนาดหนักอีกครั้งหนึ่ง คุณหมอที่นั่นพยายามหาสาเหตุแต่ไม่พบ การตรวจต่อมาพบว่าข้าพเจ้ามีก้อนเนื้องอกในลำไส้ใหญ่ และแผลเป็นในกระเพาะอาหาร คุณหมอบอกว่าสาเหตุที่แท้จริงยังหาไม่พบแต่เนื้องอกในลำไส้ใหญ่อาจเป็นมะเร็งหรือไม่ก็ได้ ถ้าไม่ผ่าออกแม้จะไม่เป็นมะเร็งตอนนี้ก็อาจโตขึ้นเรื่อย ๆ จนเป็นมะเร็งในภายหลังได้ คุณหมอก็ถามว่าจะให้ผ่าออกหรือไม่เพราะอย่างไรก็ต้องผ่าออกอยู่ดี ข้าพเจ้าถามทางบริษัท ๆ ก็บอกให้ผ่า คุณหมอก็ตัดลำไส้ใหญ่ออกไป 1ฟุตรวมทั้งไส้ติ่งด้วยเพราะอยู่ใกล้กัน คุณหมอและวิสัญญีแพทย์ไม่เคยมาบอกวิธีการหายใจหลังผ่าตัดเลย หลังการผ่าตัดเมื่อฟื้นขึ้นมาข้าพเจ้าเจ็บที่สุดในชีวิต ร้องลั่นได้ยินกันทั้งชั้นที่ข้าพเจ้านอนอยู่ ขยับตัวไม่ได้เลยเจ็บสุด ๆ แถมหมอให้ลุกเดินทุก ๆ4 ชั่วโมงอีก พยาบาล 3 คนมาพยุงให้ลุกเดินทุก 4 ชั่วโมง ขยับตัวทุกครั้งเจ็บสุด ๆ ข้าพเจ้านอนอยู่โรงพยาบาล 1 อาทิตย์ วันแรกที่หมอให้ทานอาหาร เขาเสริฟสะเต๊กกับเป๊ปซี หมอบอกให้ทานให้มากที่สุด ข้าพเจ้าก็พยายามทำตามที่คุณหมอบอก แต่เกิดความเจ็บปวดมากและอาเจียนออกมาหมด จนน้ำดีสีเขียวขม ๆก็ออกมาด้วย จิตวิญญาณก็เหมือนลอยขึ้นจากตัวอีกแล้วและเห็นเหมือนผีมาคอยจะเอาผมไป ข้าพเจ้ากลัวมากแต่เวลานั้นข้าพเข้าก็มองเห็นพระเยซูเหมือนในฝันมาอยู่ด้วยผีก็เลยหนีไป พระองค์ทำให้ข้าพเจ้ารู้สึกว่ามีความรักเกิดขึ้นในจิตวิญญานอย่างมากมาย ข้าพเจ้าคิดว่าเวลานั้นพระองค์จะมารับข้าพเจ้าไปอยู่กับพระองค์เสียอีก แต่เปล่าเลยจิตวิญญานกลับเข้ามาในร่างกายที่นอนแน่นิ่งอีกครั้งหนึ่ง
ตลอดเวลาหลังจากนั้นข้าพเจ้ารู้สึกถึงการทรงเรียกให้รับใช้พระองค์เกือบทุกลมหายใจแต่ข้าพเจ้าก็ต่อรองกับพระเจ้าตลอดเวลา ข้าพเจ้าเลยคิดว่าเวลานี้ข้าพเจ้าจำเป็นต้องเข้าเรียนพระวจนะของพระเจ้าอย่างจริงจังก่อนที่จะออกไปรับใช้พระองค์ ข้าพเจ้ารู้อยู่ตลอดเวลาว่าพระองค์ใกล้เสด็จมาอีกครั้งหนึ่งมากแล้ว ต้องเข้าโรงเรียนอย่างจริงจังเสียที ข้าพเจ้าได้พยายามหาสถานที่เรียนหลายแห่งจนในที่สุดมาสะดุดว่าที่นี่น่าจะเป็นที่ ๆควรเรียนที่สุด แท้ที่จริงข้าพเจ้ายังมีประสบการณ์เฉียดตายอีกหลายครั้งแต่น่าจะต้องพอแค่นี้ก่อน พระเจ้ายังคงให้ข้าพเจ้ามีชีวิตต่ออีกเพื่อรับใช้พระองค์แน่ ๆ
ขอพระเจ้าทรงโปรดอวยพระพรครับ